Header Ads

 


ชลบุรี - DSI สนธิกำลังร่วม กรมศุลกากร คณะทำงานท่าเรือสีขาว ตรวจสอบตู้สินค้าลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนสร้างความเสียหายเกือบ 5 หมื่นล้านบาท

   ที่ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ นายวาริส วิสารทานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง นายสัตวแพทย์ บุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายศรัณย์พงศ์ ฟุ้งเกียรติ รองเลขาธิการสภาเกษตรแห่งชาติ นายรังสรรค์ ศรีอนันต์ นักบริหาร 13 ท่าเรือแหลมฉบัง ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานโครงการท่าเรือสีขาว พร้อมด้วยหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ชุดสนับสนุนโครงการท่าเรือสีขาว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อร่วมกันทำการตรวจสอบตู้สินค้า (ตู้คอนเทนเนอร์) บรรจุสุกรแช่แข็ง จำนวน 161 ตู้ ซึ่งสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้ตรวจยึดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากตรวจสอบพบว่ามีการนำเข้าสุกรแช่แข็งซึ่งเป็นของควบคุมการนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์


โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้มีหนังสือขอให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดี ต่อมากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จึงได้มีหนังสือส่งเรื่องมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาดำเนินการ และในเรื่องเดียวกัน สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พร้อมด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เคยให้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นและยื่นหนังสือขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับเป็นคดีพิเศษด้วยอีกส่วนหนึ่งตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปก่อนนี้ ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาและมีคำสั่งให้รับกรณีนี้ไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ทำการสำรวจของค้างบัญชีเรืออยู่ในอารักขาของศุลกากรเกินกำหนดเวลา 30 วัน จึงได้ออกเอกสารบัญชีของค้างบัญชีเรือ (LIST A) โดยไม่มีใบขนสินค้าอันได้รับรองและไม่ได้เสียอากรหรือวางเงินประกันค่าอากรหรือวางเงินประกันค่าอากรที่พึงเรียกเก็บแก่ของนั้นและได้แจ้งไปยังตัวแทนเรือและผู้รับตราส่งตามที่ระบุไว้ในบัญชีเรือ

เพื่อให้มีการชำระอากรหรือวางประกันค่าอากรภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อครบระยะเวลา ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาแสดงความเป็นเจ้าของ จึงทำการเปิดสำรวจ และพบสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง ซึ่งเป็นของควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 โดยสินค้าดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาต จากกรมปศุสัตว์ จึงเป็นการนำเข้าโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 อันเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัดและเป็นของอันพึงต้องริบตามกฎหมายศุลกากร ผลการประเมินราคาสินค้าทั้งหมดมีมูลค่าราคารวมค่าภาษีอากร รวมเป็นเงิน 460,105,947.38 บาท


โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ สำหรับสิ้นค้า ทั้งหมด161ตู้นี้ ทำการเปิดตู้ทั้งให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์นี้ ซึ่ง ซากสัตว์ที่ยึดได้ทั้งหมด มีแหล่งกําเนิดจากต่างประเทศและไม่มีแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ประกอบกับ ไม่มีเอกสารรับรองการฆ่าสัตว์หรือสุขศาสตร์ของสัตวแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดหรือ พาหะของโรคระบาดสัตว์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ อันจะ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศได้

ด้าน น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เล่าว่า การลักลอบนำเนื้อหมูเถื่อนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยนั้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยไม่ใช่เฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเท่านั้น แต่ประทบถึงผู้บริโภคด้วย เนื่องจากการตรวจสอบพบมีเชื้อที่อันตรายต่อคนและสัตว์ นอกจากนั้นภาพลักษณ์ของประเทศไทยก็เสียหายด้วย เพราะเหตุใดประเทศไทยต้องนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมากมหาศาล

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ คาดว่าเพียงประมาณ 3%และไม่ถึง5 %เท่านั้น โดยคำนวณจากปริมาณการบริโภคประมาณ 5 หมื่นตัวต่อวัน แต่ในช่วง การระบาดของโรคอหิวาต์ในหมู เหลือการ บริโภคเพียง 3 หมื่นตัวต่อวันเท่านั้น แต่เมื่อถึงในช่วงเวลานั้นหมูไม่ได้ยุบหรือหายไปไหน เนื่องจากมีหมูเถื่อนเข้ามา 2 หมื่นตัวแล้ว โดยคำนวณแล้วมีหมูเถื่อนทะลักมาเป็นปีกว่า สร้งาความเดือดร้อนต่อเกษตรกร ต้องเลิกเลี้ยงไป จนถึงวันนี้หากไม่มีการดำเนินการอย่างไรต่อไป เกษตรกรด้านเกษตรกรรมจะล่มสลายอย่างแน่นอน

น.สพ.วิวัฒน์ กล่าวถึงผลกระทบรวมต่อเศรษฐกิจนั้น ประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท และยิ่งนานไปตัวเลขก็จะขยับเพิ่มมากขึ้นและหากไม่หยุดยั้งยิ่งจะสร้างความสูญเสียเพิ่มอีก เพราะขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมีต้นทุน 96 บาท แต่จำหน่ายเพียง 53 บาท โดยจะกระทบเกษตรกรทั่วประเทศ ทั้ง อีสาน , เหนือ
ที่ผ่านมาเกษตรกร เลี้ยงร้องมาโดยตลอด ในในการตรวจสอบและเปิดตู้สินค้าดังกล่าว ที่ตรวจสอบและห้ามขนย้ายตั้งแต่ ปลายปี 2565 เดือนตุลาคม และเพิ่งมาเปิดตรวจสอบในวันนี้และจากการเปิตู้ตรวจสอบแล้วพบว่าเนื้อหมูเถื่อนภายในตู้สูญหายไปครึ่งตู้ แต่อย่างไรก็ตามจะขึ้นอยู่กับDSI.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

น.สพ.วิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในขณะนี้ ปัญหาที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ที่หน้าเป็นห่วงคือ ที่ท่าเรือหรุงเทพฯ ,ท่าเรือคลองเตย,ท่าเรือปากน้ำระนอง , ท่าเรือจังหวัดสตูล ,ท่าเรือที่ สงขลา และอีกหลายๆแห่ง นอกจากนั้นยังหวั่นประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านประเทศกัมพูชา ด้านจังหวัดสระแก้ว ที่มุกดาหาร เชียงราย เชียงแสน ซึ่งเข้ามาเกือบทุกเส้นทางของประเทศแล้วในขณะนี้




ขับเคลื่อนโดย Blogger.