พิจิตร-การเรียกหลักประกันการทำงานของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ตามกฎหมายแรงงาน
การเรียกหลักประกันการทำงานของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ตามกฎหมายแรงงาน
เหตุผลและความจำเป็นของการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงาน
สหกรณ์ถือเป็นนิติบุคลที่ให้บริการทางด้านการเงินแก่สมาชิก
ไม่ว่าจะเป็นการรับฝากเงิน การกู้ยืมเงิน โดยถือว่าสมาชิกเป็นเจ้าของสหกรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์คอยให้บริการด้านการเงินต่าง
ๆ แก่สมาชิก อีกด้านหนึ่งสหกรณ์ผู้เป็นนายจ้างย่อมมีความเสี่ยงที่เจ้าหน้าสหกรณ์ในฐานะลูกจ้างจะกระทำละเมิดจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นการยักยอกหรือการลักทรัพย์
ทำให้สหกรณ์ผู้เป็นนายจ้างเกิดความเสียหาย ดังนี้ การเรียกรับหลักประกันการทำงานของเจ้าหน้าที่สหกรณ์จึงเป็นหลักประกันในการชดใช้ความเสียหายที่ลูกจ้างอาจกระทำต่อสหกรณ์นายจ้าง
อย่างไรก็ตาม
แม้สหกรณ์ผู้เป็นนายจ้างจะสามารถเรียกรับหลักประกันการทำงานจากเจ้าหน้าที่สหกรณ์ได้
แต่การเรียกรับหลักประกันการทำงานก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานด้วย
โดยมีข้อกำหนดห้ามไม่ให้นายจ้างเรียกหลักประกันการทำงานและหลักประกันความเสียหายจากการทำงาน
ไม่ว่าจะประกันด้วยเงิน ประกันด้วยบุคคลหรือประกันด้วยทรัพย์
เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้น ลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง
ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกหรือรับเงินประกันจากลูกจ้างได้
ตลอดจนจำนวนเงินและวิธีการเก็บรักษา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายจากการทำงานจากลูกจ้าง
พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา โดยสาระสำคัญของการเรียกรับหลักประกันการทำงาน
มีดังต่อไปนี้
ลักษณะงานที่สามารถเรียกหลักประกันการทำงานได้
ได้แก่
งานที่เกี่ยวกับการควบคุม การรับ-จ่ายเงิน ดูแลบัญชีของสหกรณ์ เช่น ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่การเงิน เจ้าหน้าที่บัญชี
เจ้าหน้าที่สินเชื่อ โดยมีหน้าที่รับ-จ่ายเงินให้แก่สมาชิกสหกรณ์ หรือเก็บรักษาเงินของสหกรณ์
รวมถึงงานที่เกี่ยวกับคลังสินค้า หรือทรัพย์สินของสหกรณ์ เช่น เจ้าหน้าที่การตลาด
เจ้าหน้าที่ควบคุมคลังสินค้าของสหกรณ์ เป็นต้น
ทั้งนี้
หากเป็นงานที่มีลักษณะนอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้น สหกรณ์ผู้เป็นนายจ้างไม่สามารถเรียกรับหลักประกันการทำงานจากเจ้าหน้าที่สหกรณ์ได้
ประเภทของหลักประกันการทำงาน
ได้แก่
เงินสด บุคคล หรือทรัพย์สิน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ ทั้งนี้ กรณีที่สหกรณ์เรียกรับหลักประกันเป็นทรัพย์สินนั้น
ลักษณะของทรัพย์สิน ได้แก่ 1. สมุดเงินฝากประจำของธนาคาร 2. หนังสือค้ำประกันของธนาคาร
เท่านั้น หากนำเอาสังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักประกัน เช่น ทองคำ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์
หรืออสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน
กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันการทำงานได้
ดังนี้ หากนำมาเป็นหลักประกันจะมีผลให้หลักประกันดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ คือ ถือได้ว่าไม่มีหลักประกันการทำงาน
ความจำกัดความรับผิดของหลักประกันการทำงาน
ไม่ว่าหลักประกันการทำงานจะเป็นทรัพย์สิน
หรือ บุคคลค้ำประกัน จะต้องระบุวงเงินความรับผิดไว้อย่างชัดเจน แต่ต้องไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่สหกรณ์ได้รับ
การฝ่าฝืนและความรับผิดของการเรียกรับหลักประกันการทำงาน
ข้อตกลงใดที่ขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงาน
เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายจากการทำงานจากลูกจ้าง
พ.ศ. 2551 มีผลเป็นโมฆะ และถือได้ว่าไม่มีหลักประกันดังกล่าว รวมทั้งคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
มาตรา 144 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ด้วย
กรณีตัวอย่างของการเรียกหลักประกันการทำงาน
1.
กรณีเรียกหลักประกันการทำงานก่อนและกระทำการละเมิดต่อสหกรณ์ก่อนที่ประกาศกระทรวงแรงงานบังคับใช้
วันที่ 4 กรกฎาคม 2551 เช่น นายจ้างเรียกหลักประกันการทำงานโดยใช้ทรัพย์สิน เงินสด
หรือบุคคลค้ำประกัน และได้ระบุวงเงินความรับผิดไว้เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
หรือมีข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกัน รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับสหกรณ์
ต่อมาหากเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อสหกรณ์ง ผลคือ สหกรณ์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้เต็มจำนวนตามสัญญาค้ำประกัน
และมีผลให้ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้ เนื่องจากได้เรียกรับประกันการทำงานและมีการกระทำละเมิดต่อสหกรณ์ก่อนวันที่ประกาศกระทรวงแรงงานบังคับใช้นั่นเอง
(ฎีกาที่ 207/2559)
2.
กรณีเรียกหลักประกันการทำงานก่อนและกระทำการละเมิดต่อสหกรณ์หลังวันที่ประกาศกระทรวงแรงงานบังคับใช้เมื่อวันที่
4 กรกฎาคม 2551 เช่น สหกรณ์เรียกหลักประกันการทำงานโดยใช้ทรัพย์สิน เงินสด
หรือบุคคลค้ำประกัน และได้ระบุวงเงินความรับผิดไว้เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
หรือมีข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ต่อมาหากลูกจ้างกระทำละเมิดต่อสหกรณ์หลังวันที่
4 กรกฎาคม 2551 ผลคือ สหกรณ์เรียกมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
(ฎีกาที่ 3335/2561)
3.
กรณีเรียกหลักประกันการทำงานหลังวันที่ประกาศกระทรวงแรงงานบังคับใช้เมื่อวันที่
4 กรกฎาคม 2551 เช่นสหกรณ์เรียกหลักประกันการทำงานโดยใช้ทรัพย์สิน เงินสด หรือบุคคล
และได้ระบุวงเงินความรับผิดไว้เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
หรือมีข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ หากต่อมาเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อสหกรณ์
ผลคือ สหกรณ์ไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายเอาจากหลักประกัน หรือผู้ค้ำประกันได้เลย
เพราะเป็นการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงแรงงานฯ สัญญาค้ำประกันการทำงานจึงตกเป็นโมฆะ (ฎีกาที่
354/2561)
บทสรุปส่งท้าย
สหกรณ์ในฐานะนายจ้าง
ควรมีการตรวจสอบสัญญาจ้างเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากพบว่ามีการเรียกรับหลักประกันการทำงานที่ขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงานฯ
หรือ กำหนดความรับผิดของหลักประกันไว้เกิน 60 เท่า ของค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ได้รับ
หรือ กำหนดให้ผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับเจ้าหน้าที่อย่างลูกหนี้ร่วม ให้สหกรณ์ดำเนินการแก้ไขการเรียกหลักประกันการทำงานให้ถูกต้องและเป็นไปตามประกาศกระทรวงแรงงานฯ
ทั้งนี้ เพื่อให้สหกรณ์มีหลักประกันการทำงานที่สามารถนำมาเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ได้.
บทความโดย...นายพีระพล
ดวงมณี นิติกรปฏิบัติการ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดพิจิตร