ชาวบ้านตำบลนางั่วกว่า 30 คนพร้อมด้วยประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตฯ ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ทวงถามการทำงานคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงฯ กรณีที่สาธารณะประโยชน์ “ป่าโคกตาด”
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายฉัตรชัยวงศ์ ชูเลิศ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น พร้อมคณะทำงาน และชาวบ้านตำบลนางั่ว จำนวน 40 คน ยืนถือป้ายเรียกร้อง“ขอความเป็นธรรม กรณีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล. พช. เลขที่ 159 บินทับที่ชาวบ้าน” พร้อมต้องการยื่นหนังสือต่อนายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อทวงถามการทำหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลง “ป่าโคกตาด” จำนวน 10 คน ที่แต่งตั้งโดย นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 เพื่อร่วมกันสอบสวนและพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์ ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบ 1 ปี คณะกรรมการชุดดังกล่าวไม่มีการแจ้งความคืบหน้าให้แก่ชาวบ้านได้รับทราบแต่อย่างใด ซึ่งต่อมานายปกรณ์ ตั้งใจตรง ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นตัวแทนมารับหนังสือดังกล่าว
จากกรณีที่กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือมาถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล. เลขที่ พช. 159 ให้ถูกต้องตรงตามที่ทะเบียนสงวนหวงห้ามได้ประกาศไว้ ซึ่งมีเนื้อที่จำนวนหนึ่งหมื่นไร่ อยู่ในเขตอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณประโยชน์และถูกดำเนินคดี บางรายหนีออกจากพื้นที่ บางรายก็ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะถูกดำเนินคดี จากการที่หน่วยงานรัฐออกเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หรือ นสล. เลขที่ พช.159 ผิดพลาดคลาดเคลื่อน เนื่องจากที่สาธารณประโยชน์ป่าโคกตาดนั้น เดิมทีได้ขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2469 เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ โดยแจ้งอาณาเขตจดแจ้งไว้ ทิศเหนือจดหลักเขต ทิศใต้จดโคกหนองหอย ทิศตะวันออกจดโคกน้อย ทิศตะวันตกจดโคกคอบแคบ แต่ต่อมาพบว่า การออก นสล.พช. เลขที่ 159 ไม่ได้ออกในพื้นที่แปลงสาธารณประโยชน์ดังกล่าว กับไปออกทับที่ชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ตัว และถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์ ที่ออกเป็น นสล.จำนวนกว่า 70 ราย
หลังจากนั้นนายฉัตรชัยวงศ์ ชูเลิศ ประธานเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตส่วนภูมิภาคฯ ได้นำชาวบ้านที่ถูกฟ้องบังคับคดี จำนวน 12 ราย เข้าพบเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเขียนคำร้องขอชะลอการบังคับคดี จากนั้นคณะองค์กรเครือข่ายเฝ้าระวังทุจริตส่วนภูมิภาคฯได้เดินทางไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อขอข้อมูลพื้นที่สาธารณประโยชน์ หวงห้ามทั้งหมดในเขตอำเภอเมืองเพื่อจี้ให้หน่วยงานภาครัฐออก นสล.แก่พื้นที่ ที่ส่วนราชการขอใช้จริง เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป