Header Ads

 


 ระยอง-ชาวบ้านระยอง เผาพริกเกลือสาปแช่ง หลังเรียกร้องที่ดินทำกินมานานกว่า 50 ปี ระบุยันอยู่ก่อนประกาศเขตป่าหวงห้ามฯ



เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2564 ที่บริเวณสามแยกชากหมาก ม.2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเครือข่ายเรียกร้องสิทธิ์ที่ดินทำกิน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง และ ต.ห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง ตั้งขบวนรถยนต์ “คาร์ม็อบ” จำนวน 50 คัน ขับเปิดไฟบีบแตรเรียกร้องสิทธิ์ที่ดินทำกิน ไปรอบ ต.สำนักท้อน และ ต.ห้วยโป่ง ก่อนจะมารวมตัวที่บริเวณสามแยกชากหมากอีกครั้ง โดยได้มีการทำกิจกรรมแสดงเชิงสัญลักษณ์ “เผาพริกเกลือสาปแช่ง”หลังเรียกร้องสิทธิ์ที่ดินทำกิน พร้อมกับแสดงจุดยืนต่อผู้มอำนาจเรียกร้องใน 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.จะไม่ยอมให้ที่ดินของตนเองต้องเป็นที่ดินราชพัสดุ จะสู้เพื่อปกป้องที่ดินของบรรพบุรุษจนสุดชีวิด 2.พวกเราจะไม่ยอมรับ และเข้าร่วมการดำเนินการใดๆ ของ EEC ที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน 3.กรมธนารักษ์ต้องหยุดปล้นเอาที่ดินของเราไปเป็นที่ราชพัสดุ 4.ขอให้ถอน พรก.เขตห้วงห้ามที่ดิน 2492 ทันทีประกาศทับที่ดินทำกินของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว และ 5.ขอให้ออกเอกสารสิทธิ์กับชาวบ้านทันที ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2514 อีกด้วย

ทั้งนี้ 1 ในแกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า การออกมาเรียกร้องดังกล่าว สืบเนื่องจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการเอาที่ดินของชาวบ้านที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษไปเป็นที่ดินราชพัสดุโดยอ้าง พ.ร.บ.ที่ดินราชพัสดุ พ.ศ.2562 ซึ่งออกโดยรัฐบาล คสช.เป็นการกระทำที่ไม่เห็นค่าประชาชน ซึ่งชาวบ้านเข้ามาอยูในพื้นที่ดังกล่าว ก่อนประกาศเป็นป่าหวงห้ามฯ ซึ่ง คณะรัฐมนตรี ปี 2514 ได้มีมติให้หน่วยงานรัฐดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ให้กับประชาชน แต่ปัจจุบันล่วงเลยมากว่า 50 ปีแล้ว ชาวบ้านยังไม่มีเอกสารสิทธิ์เป็นของตัวเองเลย จึงได้รวมตัวกันออกมาแสดงพลังเรียกร้องสิทธิ์ดังกล่าว หากไม่มีความคืบหน้าจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

สำหรับปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ ต.ห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง และต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง ของชาวบ้านบางส่วนทับซ้อน และจากการรังวัดแนวเขตพบว่าพื้นที่นั้นอยู่ในเขตป่าหวงห้าม กรมป่าไม้ ตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2492 ชาวบ้านพยายามเคลื่อนไหวและเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศช่วยหาแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา

ราชัญ กองทอง ข่าว/ภาพ

ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน






ขับเคลื่อนโดย Blogger.